เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรมไง สัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบำเพ็ญเพียรมานะ เป็นพระโพธิสัตว์ก่อน มาเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ พยายามขวนขวายสัจธรรมมาๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม
เวลาแสดงธรรมๆ นะ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม พอมีดวงตาเห็นธรรม สงฆ์องค์แรกเกิดขึ้นในโลก ถ้าสงฆ์องค์แรกเกิดขึ้นในโลก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นแก้วสารพัดนึก เป็นไตรสรณคมน์ของชาวพุทธเรา
เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาเกิดมาพบพระพุทธศาสนา สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมและวินัย สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขวนขวายมาค้นคว้ามา ค้นคว้ามาวางไว้ไง วางไว้บนสำรับของเราไง ถ้าวางไว้บนสำรับของเรา เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องสัจธรรม ถ้าเรื่องสัจธรรม สัจธรรมเพื่ออะไร สัจธรรมเพื่อชีวิตนี้ไง เกิดมาอย่าให้มันทุกข์มันยากจนเกินไปนัก เวลาเกิดมาในครรภ์ ๙ เดือน เวลาเกิดออกมาแล้ว เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาได้พบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสิร์ฟต่อหน้าเราเลย เราจะกินหรือไม่กิน เราจะรู้หรือไม่รู้
ถ้าเราจะรู้ เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลามีอาหารเสิร์ฟมาบนภาชนะของเราเลย นี่ศึกษาธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ทรงจำธรรมวินัยๆ ไง ถ้าทรงจำธรรมวินัย ธรรมนี้เป็นของใคร ธรรมนี้เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา อาสวักขยญาณ ทำลายอวิชชาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เสวยวิมุตติสุข นี่สัจธรรมๆ ความจริงอันนั้น เรามาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำรับนั้นเป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง
สำรับของใครใหญ่มาก สำรับของใครใหญ่โต สิ่งที่ใหญ่โตคือเกิดมามั่งมีศรีสุข เวลาสำรับของใครอัตคัดขาดแคลน เกิดมามีแต่ถ้วยจาน ไม่มีอาหารเลย สิ่งที่เป็นอาหารๆ แต่อาหารนั้นใครมีความสนใจมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีใครสนใจมากน้อยแค่ไหนนะ มันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาของคนนะ แต่ถึงเวลาแล้วข้าวเกิดในจานๆ ธรรมะเกิดบนโต๊ะหรือ ธรรมะเกิดบนโต๊ะใช่ไหม ธรรมะเกิดในตำรับตำราใช่ไหม
ในตำรับตำรา ธรรมและวินัยเป็นวัฒนธรรมๆ เวลาเราเกิดมามีวัฒนธรรมของท้องถิ่น ถ้าวัฒนธรรมท้องถิ่น พระพุทธศาสนายังมีจุดเด่นแตกต่างกันไป ความแตกต่างกันไป เวลาศึกษาแล้ว ศึกษาแล้วให้ประพฤติปฏิบัติ สำรับนั้นๆ เราเกิดมามีพ่อแม่เลี้ยงดู เราเกิดมา เบี้ยคนชราๆ ชราภาพทำสิ่งใดไม่ได้ รัฐบาลเขาก็ดูแล นี่ก็เหมือนกัน เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ไง เกิดเป็นมนุษย์มีกฎหมายคุ้มครองใช่ไหม แต่ถ้าเราเอาความจริง ความจริงเอามาจากไหน ข้าวมาจากจานใช่ไหม เวลาศึกษา ศึกษาแล้วให้ประพฤติปฏิบัติไง
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกชาวพุทธนะ อย่าบูชาเราด้วยอามิสเลย สิ่งที่เราบูชาด้วยอามิส แต่เราก็บูชา บูชาเพราะอะไร เพราะเป็นทาน ศีล ภาวนา
เป็นทาน พอมีทานแล้วมีการแสวงหานั้น ถ้าการแสวงหา แสวงหาเพื่อหัวใจดวงนั้นไง ถ้าแสวงหาเพื่อหัวใจดวงนั้น นี่ไง สิ่งที่จะให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ปฏิบัติบูชาเราเถิด
ข้าวมาจากไหน สำรับอาหารนี้มาจากไหน สำรับอาหารนี้พ่อแม่แสวงหามาให้เรานะ พ่อแม่อาบเหงื่อต่างน้ำมา แล้วแสวงหามาวางไว้บนโต๊ะนี้ ที่เราจะได้กินได้อยู่นี่ของพ่อของแม่ทั้งนั้นน่ะ ถ้าไม่ใช่ของพ่อของแม่ เบี้ยคนชรา เบี้ยคนชราก็ของรัฐบาล รัฐบาลมาจากไหน รัฐบาลเก็บภาษีมา ก็วนมากับเรานี่ไง
แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ข้าวมาจากไหน ข้าวมาจากท้องนา ถ้าเราศึกษาขึ้นมา เราอยากทำนา เราอยากทำนาขึ้นมา เวลาทำนาขึ้นมาก็ทางวิชาการ เราจะทำข้าวสังข์หยด เวลาไถนาแล้วทำข้าวสังข์หยด ทำข้าวหอมมะลิ ทำข้าวเบานะ อู๋ย! หว่านไปนะ เวลาปลูกขึ้นมา ข้าวคนละพันธุ์ คนละสายพันธุ์ ความต้องการน้ำ ความต้องการในที่ดอนในที่ลุ่มแตกต่างกัน ข้าวเบา เวลา ๓ เดือนเขาเก็บเกี่ยวแล้ว แต่ข้าวหนัก เวลาหว่านไป เวลามันงอกมาเละเลย
นี่ไง ทำนาๆ ทำนาอย่างไร นี่ไง พันธุ์ข้าวๆ มาจากไหน พันธุ์ข้าวก็มาจากจริตนิสัยของคน เวลาคนมันมีความชอบแตกต่างกันไป ความชอบแตกต่างกันไป ข้าวมันมาจากไหน ข้าวมันมาจากนา แล้วนามันเป็นข้าวขึ้นมาได้ไหม ถ้านาไม่มีพันธุ์ข้าว มันจะเอาข้าวมาจากไหน แล้วพันธุ์ข้าวมันมาจากไหนล่ะ จริตนิสัยๆ เห็นไหม
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาทำบุญในพระพุทธศาสนาจะได้บุญมหาศาล หว่านข้าวไปในนา ถ้าเนื้อนาบุญเป็นเนื้อนาบุญของโลก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ มันอยู่ที่อำนาจวาสนา อำนาจวาสนาของคน อำนาจวาสนาของคนเขาทำโดยน้ำใสใจจริงของเขา เวลามันให้ผลตอบแทนของเขา เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเราจะเลียนแบบ จะเอาอย่างนั้นๆ นะ จะทำบุญแล้วได้บุญของเราๆ
เขาทำบุญ บุญคืออะไร บุญคือความสบายใจนะ บุญคือความสุขใจเรานะ คนเรามีมากมีน้อย เราก็แค่กินอยู่มื้อเดียวเท่านั้นแหละ มันจะมีมากมายมหาศาล เราก็ใช้สอยเท่านั้นแหละ แล้วคนที่เขามีสติปัญญานะ สิ่งที่ว่าเป็นทรัพย์สินของเขามันเป็นประโยชน์กับตัวเขาด้วย เป็นประโยชน์กับคนอื่นด้วย แต่เขาไม่มีสติปัญญา ทรัพย์สินของเขาเป็นโทษกับเขานะ
เวลาของเรา สร้อยทองอย่าใส่ให้แก่เด็กๆ ปล่อยเด็กไปเดินเล่น เดี๋ยวคนร้ายมันอยากได้สร้อยทองนั้น มันจะทำลายชีวิตของเด็กน้อยเราด้วย ทรัพย์สมบัติจะเอาไว้ที่ใครมันเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์ไง คนที่เขามีสติปัญญา ทรัพย์นั้นก็เป็นประโยชน์ได้นะ ทรัพย์นั้นมันทำลายเราก็ได้นะ
คนเราถ้ามันไม่รู้จักใช้สอยนะ มันทำให้นิสัยเสียได้นะ แต่คนที่รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ คนที่มีสติปัญญาของเขา คนที่เขาจะมีฐานะขึ้นมาเขารู้จักประหยัดมัธยัสถ์ รู้จักเก็บหอมรอมริบของเขา การเก็บหอมรอมริบขึ้นมานั่นน่ะด้วยสติปัญญาของเขา ด้วยปัญญา
นี่ไง เวลามันสอนเข้ามามันก็เข้ามาที่หัวใจนั่นน่ะ ถ้าหัวใจดวงนั้น สิ่งที่มันมีมากมายมหาศาลขนาดไหน เราก็แค่อิ่มเดียวนะ เราก็ใช้สอยแค่นั้นแหละ แต่มันมีสติปัญญาหรือไม่ ถ้าไม่มีสติปัญญาขึ้นมา ไม่มีสิ่งใดเลย
โตเทยยพราหมณ์เป็นเศรษฐีตระหนี่ ไม่ให้อะไรใครเลย เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบิณฑบาตผ่านไปก็ไม่ให้สิ่งใดเลย เวลาเขาตายไปแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผ่านไป พอผ่านไป หมามันมาเห่าๆ พอมาเห่าไปนะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “โตเทยยพราหมณ์ เวลาเธออยู่เธอก็ตระหนี่นะ เวลาตายไปแล้วก็ยังมาตระหนี่ มาเฝ้าทรัพย์สมบัติของตนอยู่นั่นน่ะ”
พูดไปแล้วทาสได้ยิน ทาสไปบอกลูกชาย ลูกชายโกรธมาก มาดูถูกได้อย่างไร มาเรียกชื่อพ่อของตนว่าเป็นสุนัขๆ ตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดอย่างนั้นจริงๆ หรือ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้มีศีลไง
“เออ! พูดจริงๆ”
“แล้วมาดูถูกได้อย่างไร”
“ก็มันเรื่องจริง”
“เรื่องจริงแล้วจะพิสูจน์กันอย่างไรล่ะ”
“ให้กลับไปนะ ให้กลับไปที่บ้าน เลี้ยงสุนัขตัวนั้นให้ดี แล้วให้เรียกว่าพ่อๆๆ เลี้ยงดูให้ดีเลย พอเลี้ยงดูให้ดีแล้วนะ พออิ่มหนำสำราญแล้วให้ขอกับสุนัขตัวนั้นบอกว่าสมบัติที่พ่อฝังไว้อยู่ไหน สมบัติที่พ่อฝังไว้ ที่มาเกิดเป็นสุนัขนั่นน่ะ”
เลี้ยงดูเสร็จแล้วนะ โตเทยยพราหมณ์กลับไปก็ทำแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน พอทำเสร็จก็บอกเลย “พ่อ ที่พ่อฝังสมบัติไว้ขอนะ” สุนัขตัวนั้นนะ ลุกขึ้นวิ่งแล้วไปคุ้ยดิน ลูกชายโตเทยยพราหมณ์ให้คนใช้ขุด ไหทองคำทั้งนั้นเลย นี่ผลของการที่มันผูกพันไง ผลของการที่มันผูกพันตายไปแล้วมาเกิดเป็นสุนัขเฝ้าอยู่นั่นไง
แต่คนที่ฉลาดเขาได้ทำประโยชน์ของเขานะ เขาเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมของเขานะ แต่นี่ทรัพย์สมบัตินั้น อันนี้อยู่ในพระไตรปิฎก เขาแปลมาอยู่ในธรรมบท นี่ไง เวลาผูกพันๆ แต่เรารู้ไหม เราเห็นไหม สมบัติที่จะเป็นประโยชน์ สมบัติที่จะมีคุณค่ากับเราไง เวลาอยู่ก็หวงนัก ตระหนี่ถี่เหนียวนัก
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินบิณฑบาตผ่านไป บิณฑบาตผ่านมา ไม่เคยสละทานแม้แต่นิดเดียว เวลาตายไปแล้ว ด้วยความผูกพัน ด้วยความตระหนี่ถี่เหนียวของตน มาเกิดเป็นสุนัขเฝ้าอยู่นั่นน่ะ มาเกิดเป็นตุ๊กแกจิ้งจกเฝ้าสมบัติของตนอยู่นั่นน่ะ นี่ไง ด้วยความผูกพันของใจ เรื่องของใจสำคัญนัก
เวลาทำนาๆ ไง พันธุ์ข้าวที่จะหว่านลงไป พันธุ์ข้าวอะไร พันธุ์ข้าวเบาเขาต้องใช้ที่สมควรของเขา พันธุ์ข้าวหนักเขาต้องใช้ที่สมควรของเขา นี่ก็เหมือนกัน เราจะลงไปทำนาของเราๆ ทำนาไปในหัวใจของเรา เราต้องทำความสงบของใจเข้ามา ใจ ภวาสวะ ภพ ฐีติจิต จิตเดิมแท้นั่นน่ะ แล้วเราจะใช้ปัญญาของเรา เราจะหว่าน เราจะไถ เราจะทำมรรคผลขึ้นมาในใจของเรา ถ้าทำมรรคผลขึ้นมาในใจของเรา เห็นไหม
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ สำรับเสิร์ฟบนหน้าเราเลย เราเห็นแต่ข้าวๆๆ แต่ทำนาไม่เป็น ไม่รู้มันมาจากไหน ศีล สมาธิ ปัญญาก็ไม่รู้จัก ศีล โธ่! ง่ายๆ ก็ ศ.ศาลา สระอิ ล.ลิง ศีล ทำไมไม่รู้จัก แต่ทำไม่เป็น ไม่มีความสำนึกในใจ ไม่มีน้ำใจของตน ไม่รู้จักคุณค่าของชีวิต
สิ่งที่มีค่าที่สุด สิ่งที่มีค่าที่สุดคือชีวิตของเรานะ เพราะเรามีชีวิตอยู่นี้ สมบัติพัสถานถึงเป็นของเรา เราตายจากชีวิตนี้ไป สมบัติพัสถานมันเป็นของใคร เพราะมีชีวิตถึงมีสิ่งต่างๆ ทั้งนั้น เพราะชีวิตนี้หายไป ชีวิตนี้ขาดไป ทุกอย่างจะหลุดจากมือเราทันที สิทธิจะขาดทันที
ฉะนั้น ชีวิตนี้มีค่ามาก ถ้าชีวิตนี้มีค่ามาก เราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วสำนึก สำนึกถึงสิ่งที่มีคุณค่า สิ่งที่มีคุณค่าคือหัวใจของเรา ถ้าสิ่งที่มีค่าคือหัวใจของเรา แล้วหัวใจอยู่ไหน คนเกิดมามีกายกับใจๆ แล้วใจอยู่ไหน
ใจก็ได้ร่างกายนี้มา ร่างกายนี้ลงทะเบียนไว้เป็นชื่อนาย ก นาย ข นี่ไง ทะเบียนราษฎร์ก็มีสิทธิ์ตามทะเบียนราษฎร์นั้น แล้วเราล่ะ แต่พอเรา แล้วเราศึกษาแล้ว สำรับบนจาน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสิร์ฟมาเต็มสำรับเลย แล้วเราจะค้นคว้าของเราแล้วล่ะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หาพื้นที่ของเรา ถ้าหาที่นาของเราเจอ จิตสงบระงับเข้ามา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี สุขอื่นใดเท่ากับคนคนนั้นหาตัวตนของคนพบ คนคนนั้นรู้จักที่มาของตน คนคนนั้นเห็นตัวตนของตน ตัวตนของตน สัมมาสมาธิ มันหดเข้ามา หดจากอารมณ์ความรู้สึก เพราะตัวตนนั้นมันอยู่โดยเอกเทศไม่ได้ มันถึงต้องเกาะ เกาะอะไร เกาะอารมณ์ เกาะความคิด
ความรู้สึกนึกคิดนี้ไม่ใช่จิต ความรู้สึกนึกคิดนี้เกิดจากจิต เกิดจากจิตแล้วจิตนี้อาศัยความรู้สึกนึกคิดนี้อาศัยทรงตัวไว้ แล้วเราก็อยู่ได้แต่ความรู้สึกนึกคิดนี้ แต่ไม่เคยเห็นจิต
หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ก็เป็นความรู้สึกนึกคิดเหมือนกัน ความรู้สึกนึกคิดที่เกี่ยวกับโลกให้ไปอยู่พุทธานุสติ เปลี่ยนความรู้สึกของเรา เปลี่ยนเป้าหมายของเรา เปลี่ยนพลังงานของเราที่มันจะไปอยู่ที่ความรู้สึกนึกคิดนี้ ไปอยู่ที่หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ อยู่กับพุทธานุสติ
ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้เป็นชื่อ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ จนมันกลมกล่อม มันเป็นเนื้อเดียวกัน มันสะดวก มันไปทางเดียวกัน จนมันปล่อยพุทโธ มันปล่อยพุทโธมันก็ปล่อยอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดเข้าไปเป็นตัวของเขาเอง ใครเห็นตัวตนของตน ความยิ่งใหญ่ไง ใครเห็นใจของตน ใครได้สัมมาสมาธิ คนคนนั้นจะเห็นคุณค่าของคน
สิ่งที่มีค่า มีค่าในใจของตนนั่นน่ะ แล้วถ้ามีค่าในใจของตน ฝึกหัดชำนาญในวสี ชำนาญในการรักษา แล้วฝึกหัดใช้ปัญญาๆ เราจะทำนา เราจะหาข้าว เราจะหาสำรับนั้น เราจะหาอาหารนั้นโดยน้ำมือของเรา โดยการกระทำของเรา
เราอาศัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาสำรับวางไว้ต่อหน้า แล้วเราก็ใช้สิ่งนั้นเป็นวัฒนธรรมเป็นประเพณีรักษาชีวิตนี้มา รักษาคุณค่าความดีมา แล้วเราก็พยายามจะทำให้มันเกิดขึ้นกับเราไง
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์รวมลงเป็นหนึ่งเดียวในใจของหลวงตามหาบัว เห็นไหม เวลามันเป็นหนึ่งเดียว พุทธ ธรรม สงฆ์รวมเป็นหนึ่งเดียว ท่านกราบแล้วกราบเล่าๆ กราบถึงความมหัศจรรย์ กราบถึงเมตตาคุณ กราบถึงคุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทำไว้ไง แล้ววางธรรมวินัยนี้ไว้ วางธรรมวินัยนี้ไว้ให้กับพวกเรานี่ไง
ที่เราอยู่สุขอยู่สบายกันอยู่นี่ก็ด้วยชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มีศาสนาคอยขัดเกลา คอยขัดเกลาให้พวกเราเห็นน้ำใจต่อกัน ให้มีน้ำใจต่อกัน ให้เอื้อเฟื้อต่อกัน นี่ไง ที่เราอยู่สุขเราอยู่สบายอยู่ได้ นี่ไง เพราะด้วยศาสนาขัดเกลาไง ถ้าขัดเกลาแล้ว ขัดเกลามันเป็นวัฒนธรรมใช่ไหม แล้วมันเป็นความจริงๆ ที่มันลึกซึ้งขึ้นไป
เราอาศัยข้าว อาศัยสำรับนั้นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพื่ออยู่สุขอยู่สบาย อยู่ด้วยคุณงามความดีของเราไง แล้วเราทำจริงทำจังของเรา เราจะมหัศจรรย์ในใจของเรา เราจะมหัศจรรย์ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราจะมหัศจรรย์ในความสงบในใจนี้ เราจะมีความมหัศจรรย์ นั้นคือการกระทำของเรา
ข้าวมาจากการกระทำของเรา ต่อไปนี้ในจานมีข้าวก็ได้ ไม่มีข้าวก็ได้ เรามียุ้ง เรามีฉาง เรามีพื้นนา เรามีการกระทำ ๓ เดือนได้เก็บเกี่ยวแล้ว ๓ เดือนได้ข้าวใหม่แล้ว ๓ เดือนได้ตลอดถ้าเราทำของเรา นี่ก็เหมือนกัน ความสงบอยู่กับเราตลอด ความสงบไง จิตของเราก็อยู่กับเราไง
แต่นี่ไม่เคยเห็น อาศัยแต่กินข้าวคนอื่น อาศัยแต่ด้วยความเกิดเป็นมนุษย์ เพราะได้การเกิดเป็นมนุษย์ อำนาจวาสนาของการเกิดเป็นมนุษย์ ตายไปแล้วจะไปกินอะไรก็ไม่รู้ แต่ถ้าเราทำของเราได้เองนะ จะตายไปภพใดชาติใดเราก็มีความรู้อันนี้ไป เรามีมรรคมีผลในใจของเราไป นี่ไง สิ่งที่มีค่าๆ คือหัวใจของเรานะ
เราเกิดมาเป็นคน เกิดเป็นมนุษย์เห็นภัยในวัฏสงสารมาบวชเป็นพระ พอบวชเป็นพระแล้ว หน้าที่ของพระภิกขาจารแล้ว ทำภัตกิจแล้วเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาให้มันมีความเป็นจริงขึ้นมาในใจ
หลวงตาท่านเน้นย้ำประจำ พระทรงธรรมทรงวินัยไม่ได้ ใครจะทรง พระรู้ธรรมรู้วินัยไม่ได้ ใครจะรู้ มันต้องผู้ที่ประพฤติปฏิบัติผู้เป็นความจริงนั้นรู้ ถ้ารู้อันนี้ขึ้นมาในใจของตนแล้ว รู้ขึ้นมาในใจของตนแล้ว ธรรมะสดๆ ร้อนๆ
หลวงตาท่านพูดประจำ ให้ถามมา ถามเรื่องมรรคเรื่องผล ให้ถามมา ไล่หลวงตาให้จนที ท่านบอกไล่ให้จนเสียที ไล่ให้ถือว่าความไม่รู้ ไม่รู้คืออวิชชา แล้วถ้ามันรู้ มันรู้อะไร รู้ความจริงอย่างไร แล้วรู้ขึ้นมาที่ไหน รู้ขึ้นมาในหัวใจของตน
แล้วเราก็มีหัวใจ เรามีความรู้สึก เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราต้องขวนขวายของเรา เอาความจริงของเรา เอาสัจธรรมในใจนี้เพื่อเป็นสมบัติของเรา เอวัง